ค่ายสองล้อแข่งกันเดือด ยามาฮ่างัดรถใหม่เกียร์ธรรมดา 'สปาร์ค นาโน'ลุยคู่แข่งฮอนด้าและซูซุกิ ชูจุดขายด้านราคา-อะไหล่ถูก พร้อมอัดงบการตลาด40ล้านบาทส่งพรีเซ็นเตอร์ 'อี้ด-ลาล่า-ลูลู่'โปงลางสะออน ที่เข้ามาสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัยที่ต้องการรถใช้งานที่คุ้มค่า เตรียมเดินสายโรดโชว์เข้าหากลุ่มเป้าหมายในเขตรอบนอกทั่วประเทศ มั่นใจรถรุ่นใหม่ขายได้7,000คันต่อเดือนและช่วยผลักส่วนแบ่งทางการตลาดของรถเกียร์ธรรมดาจาก5%เป็นมากกว่า 10%ภายในสิ้นปีนี้
หลังจากปลุกปล้ำรถยนต์เกียร์อัตโนมัติจนสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ1ไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนยามาฮ่าไปแล้ว วันนี้ค่ายยามาฮ่าก็เตรียมปลุกกระแสความนิยมของตลาดรถเกียร์ธรรมดาอีกครั้ง โดยตัดสินใจนำรถในรุ่นสปาร์ค นาโน เข้ามาเจาะตลาด ภายใต้คอนเซ้ปต์ 'ยามาฮ่า สปาร์ค นาโน ใหม่ ซูเปอร์คุ้ม คูณสาม คุ้มเงิน คุ้มงาน คุ้มนาน'
ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของยามาฮ่าจะถูกมองว่าเน้นการทำตลาดรถเกียร์อัตโนมัติ เนื่องจากมีการทุ่มทุนหลายร้อยล้านบาทในสร้างเซกเม้นต์ใหม่ให้กับตลาดและมีการทำกิจกรรมทางการตลาดจนเป็นที่ยอมรับและส่งผลให้ชื่อเสียงของแบรนด์ยามาฮ่าเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้า ดังนั้นเมื่อแบรนด์มีความแข็งแกร่งแล้วจึงเตรียมสานต่อด้วยการรุกตลาดรถเกียร์ธรรมดาแบบจริงจังอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปจากตลาดเป็นเวลากว่า7ปี ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ก็มีความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ว่าจะสามารถทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดที่อยู่ 5% เติบโตมากกว่า10%
ความคาดหวังของยามาฮ่าที่ต้องการส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มนั้น มาจากความมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ โดย สปาร์ค นาโน ใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์เกียร์ธรรมดา แบบ 110 ซีซี.4จังหวะ ส่วนดีไซน์รถนั้นมีการออกแบบใหม่หมดทั้งคัน สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 หรือเติมอี20ได้ มีระบบบำบัดไอเสียแบบกรอง2ตัว ผ่านมาตราฐานไอเสียระดับ6หรือยูโร 3 ขณะที่การออกแบบที่เก็บของใต้เบาะมีขนาดใหญ่สามารถจุของได้เยอะ ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของรถในรุ่นนี้เป็นคนที่ต้องการรถเพื่อการใช้งาน ทนทาน ประหยัด
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของยามาฮ่ายังคงเป็นเครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ โดยเชื่อมั่นว่าความต้องการของเครื่องยนต์ดังกล่าวยังคงไปได้ แม้คู่แข่งอย่างฮอนด้าจะเดินหน้าไปก้าวหนึ่ง ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์แบบหัวฉีดในรุ่นเวฟ 110ไอ ที่มีคุณสมบัติด้านสมรรถนะ และประหยัดน้ำมันแต่ความได้เปรียบตรงจุดนี้ก็เป็นเสมือนดาบสองคมที่อาจจะกลับมาทำร้ายตัวเอง หรือเป็นหนามทิ่มอกตัวเองได้ เพราะยามาฮ่ากลับชูจุดเด่นของเครื่องยนต์แบบคาบูเรเตอร์เข้ามาเป็นตัวช่วยสื่อสารในรถรุ่นใหม่นี้ว่าเป็นรถที่ราคาถูกกว่ารถแบบหัวฉีด แถมดูแลรักษาง่าย ประหยัดน้ำมัน ไม่จุกจิก
โดยสปาร์ค นาโน มีราคารุ่นดรัมเบรก สตาร์ตเท้า ราคาคันละ 32,500 บาท,รุ่นดิสก์เบรก สตาร์ตเท้า ราคา 34,500 บาทและรุ่นดิสก์เบรก สตาร์ตมือและสตาร์ตเท้า ราคา 36,500 บาท ขณะที่ราคาของคู่แข่งอย่างเวฟ110ไอนั้นเริ่มต้นที่ 34,000-40,000บาท ส่วนซูซูกิ สแมช โมเดลปี2008ราคาเริ่มต้น 34,000-38,000บาท นอกจากนี้ยามาฮ่ายังมีการชูเรื่องอะไหล่ทดแทนที่ถูกกว่า โดยข้อมูลจากการสำรวจของยามาฮ่าพบว่าอะไหล่ของสปาร์ค นาโนเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์แบบเดิมพวกเขาจะถูกกว่า17%ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับอะไหล่ของเครื่องยนต์แบบหัวฉีดพวกเขาถูกกว่า 50%
การชูจุดเด่นเรื่องราคาและเรื่องอะไหล่ถือเป็นประเด็นสำคัญอีกจุดหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้ยอดขายของรถในรุ่นนี้ได้รับความนิยม เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่จะซื้อรถประเภทนี้เป็นกลุ่มผู้บริโภคตามต่างจังหวัดที่เน้นรถครอบครัวแบบใช้งาน ซึ่งปัจจัยด้านราคาและอะไหล่ทดแทนจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่มีผลต่อการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภค ก็จะทำให้มีการพิจารณาถึงความคุ้มค่าและใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบมากที่สุด
ถือเป็นการตัดสินใจรุกในห้วงเวลาที่ตลาดเริ่มจะส่งสัญญาณในทางบวก เนื่องจากภาพรวมของตลาดเริ่มมีตัวเลขหดตัวอยู่ในปริมาณที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีตัวเลขจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 743,274คัน ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 14.8%เมื่อเจาะเฉพาะตลาดรถกลุ่มครอบครัวก็จะพบว่าแนวโน้มยอดขายนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 73,647 คันสูงที่สุดในรอบ6เดือน
สัญญาณที่เริ่มส่งมาในแนวบวกทำให้การตัดสินใจรุกตลาดรถเกียร์ธรรมดาเป็นไปอย่างมั่นใจ เพราะไม่เพียงแต่เชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ ขึ้นชื่อว่ายามาฮ่า มักจะมีรูปแบบการตลาดที่แปลกและไม่เหมือนใคร โดยมีการทุ่มงบประมาณกว่า40ล้านบาทในส่วนนี้ และมีการสื่อสารทางการตลาดด้วยการส่งคีย์ เมสเสจ'ยามาฮ่า สปาร์ค นาโน ใหม่ ซูเปอร์คุ้ม คูณสาม คุ้มเงิน คุ้มงาน คุ้มนาน'และเมสเสจดังกล่าวก็ถูกถ่ายทอดโดย3พรีเซ็นเตอร์ อย่างอี้ด-ลาล่า-ลูลู่ จากโปงลางสะออน
สรวงสุดา มนัสบุญเพิ่มพูล ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่าสาเหตุที่มีการเลือกอี้ด-ลาล่า-ลูลู่ จากโปงลางสะออนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น เนื่องจากแต่เดิมทั้ง3คนได้ร่วมทำกิจกรรมกับยามาฮ่ามาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเป็นการเดินสายโรดโชว์ และนำเสนอรถในรุ่นสปาร์ค อาร์เอ็กซ์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดนั้นๆได้เป็นอย่างดี ประกอบกับบุคลิกของพรีเซ็นเตอร์ทั้ง3คนที่สามารถไต่เต้าจนประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ตรงจุดนี้มองว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดี อีกทั้งยังสามารถเข้าหาคนทุกเพศทุกวัยได้ ทำให้ยามาฮ่าตัดสินใจเลือกมาทำหน้าที่พรีเซ็นเตอร์รถใหม่ในครั้งนี้
นอกจากการใช้พรีเซ็นเตอร์ในการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านโฆษณาและสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆแล้ว แนวทางที่สำคัญที่จะผลักดันยอดขายของรถรุ่นนี้คือการทำกิจกรรมทางการตลาดในแบบโรดโชว์ภายใต้ชื่องาน 'ยามาฮ่า สปาร์ค นาโน สะออนทั่วไทยกับโปงลางสะออน'ที่จะเป็นการแนะตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับลูกค้า เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดสอบรถ ส่วนความบันเทิงก็จะมีโปงลางสะออนมาร่วมมอบความสนุก โดยยามาฮ่ามีการวางแผนรุกเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นอำเภอในเขตนอกเมืองทั่วประเทศ และจะมีการจัดกิจกรรมมากกว่า450 ครั้งในระยะเวลา3เดือนนับจากนี้
แม้จะถูกมองว่าการเข้ามารุกตลาดรถเกียร์ธรรมดาในครั้งนี้ เป็นการลดระดับแบรนด์จากระดับบนมาสู่ระดับล่าง แต่ยามาฮ่ามองว่า ผลิตภัณฑ์จะเป็นตัวบอกว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นแบบไหน และจะมุ่งไปสู่การทำตลาดในแบบนั้น ซึ่งแต่เดิมที่ผ่านมา เน้นรถแบบเกียร์อัตโนมัติ ก็จะมุ่งเจาะกลุ่มคนเมือง เน้นกลุ่มที่เป็นเทรนดี้ มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างโดดเด่น ขณะที่ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เข้ามาและมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ดังนั้นแนวทางหรือวิธีการในการทำตลาดก็จะต่างกันออกไปด้วย เรียกว่าผลิตภัณฑ์จะมีโพสิชั่นของตัวเองอยู่แล้ว และไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียไปแต่อย่างใด เพราะกลุ่มเป้าหมายเป็นคนละกลุ่มกัน ขณะที่การรุกในครั้งนี้ของยามาฮ่า แม้จะมองว่าเป็นเรื่องที่ช้าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างฮอนด้า และซูซุกิ ที่มีการทำตลาดรถแบบเกียร์ธรรมดามาอย่างต่อเนื่อง แต่ยามาฮ่าเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่เพียรสร้างมาหลายปี และผลิตภัณฑ์ที่สดใหม่น่าจะทำให้ยอดขายของรถรุ่นนี้อยู่ที่ 7,000คันต่อเดือน ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จะทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดในรถเกียร์ธรรมดาที่แต่เดิมมีอยู่5% หรือขายได้3,000คันต่อเดือนก็จะเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ภายในสิ้นปีนี้
เรียกได้ว่าเป็นการเปิดเกมรบอีกครั้งของยามาฮ่า หลังจากในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในสนามรบของตลาดเกียร์อัตโนมัติ แต่มาวันนี้เมื่อมีการเสริมความแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเกียร์ธรรมดา พร้อมทั้งอัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบตามสไตล์ Yes! We are Different คาดว่าสมรภูมิในครั้งนี้จะต้องทำให้เจ้าตลาดอย่างฮอนด้า และ ซูซุกิ ที่เคยมั่นใจในตัวเองต้องสั่นคลอนอีกครั้ง
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080410
หลังจากปลุกปล้ำรถยนต์เกียร์อัตโนมัติจนสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ1ไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนยามาฮ่าไปแล้ว วันนี้ค่ายยามาฮ่าก็เตรียมปลุกกระแสความนิยมของตลาดรถเกียร์ธรรมดาอีกครั้ง โดยตัดสินใจนำรถในรุ่นสปาร์ค นาโน เข้ามาเจาะตลาด ภายใต้คอนเซ้ปต์ 'ยามาฮ่า สปาร์ค นาโน ใหม่ ซูเปอร์คุ้ม คูณสาม คุ้มเงิน คุ้มงาน คุ้มนาน'
ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของยามาฮ่าจะถูกมองว่าเน้นการทำตลาดรถเกียร์อัตโนมัติ เนื่องจากมีการทุ่มทุนหลายร้อยล้านบาทในสร้างเซกเม้นต์ใหม่ให้กับตลาดและมีการทำกิจกรรมทางการตลาดจนเป็นที่ยอมรับและส่งผลให้ชื่อเสียงของแบรนด์ยามาฮ่าเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้า ดังนั้นเมื่อแบรนด์มีความแข็งแกร่งแล้วจึงเตรียมสานต่อด้วยการรุกตลาดรถเกียร์ธรรมดาแบบจริงจังอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปจากตลาดเป็นเวลากว่า7ปี ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ก็มีความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ว่าจะสามารถทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดที่อยู่ 5% เติบโตมากกว่า10%
ความคาดหวังของยามาฮ่าที่ต้องการส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มนั้น มาจากความมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ โดย สปาร์ค นาโน ใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์เกียร์ธรรมดา แบบ 110 ซีซี.4จังหวะ ส่วนดีไซน์รถนั้นมีการออกแบบใหม่หมดทั้งคัน สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 หรือเติมอี20ได้ มีระบบบำบัดไอเสียแบบกรอง2ตัว ผ่านมาตราฐานไอเสียระดับ6หรือยูโร 3 ขณะที่การออกแบบที่เก็บของใต้เบาะมีขนาดใหญ่สามารถจุของได้เยอะ ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของรถในรุ่นนี้เป็นคนที่ต้องการรถเพื่อการใช้งาน ทนทาน ประหยัด
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของยามาฮ่ายังคงเป็นเครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ โดยเชื่อมั่นว่าความต้องการของเครื่องยนต์ดังกล่าวยังคงไปได้ แม้คู่แข่งอย่างฮอนด้าจะเดินหน้าไปก้าวหนึ่ง ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์แบบหัวฉีดในรุ่นเวฟ 110ไอ ที่มีคุณสมบัติด้านสมรรถนะ และประหยัดน้ำมันแต่ความได้เปรียบตรงจุดนี้ก็เป็นเสมือนดาบสองคมที่อาจจะกลับมาทำร้ายตัวเอง หรือเป็นหนามทิ่มอกตัวเองได้ เพราะยามาฮ่ากลับชูจุดเด่นของเครื่องยนต์แบบคาบูเรเตอร์เข้ามาเป็นตัวช่วยสื่อสารในรถรุ่นใหม่นี้ว่าเป็นรถที่ราคาถูกกว่ารถแบบหัวฉีด แถมดูแลรักษาง่าย ประหยัดน้ำมัน ไม่จุกจิก
โดยสปาร์ค นาโน มีราคารุ่นดรัมเบรก สตาร์ตเท้า ราคาคันละ 32,500 บาท,รุ่นดิสก์เบรก สตาร์ตเท้า ราคา 34,500 บาทและรุ่นดิสก์เบรก สตาร์ตมือและสตาร์ตเท้า ราคา 36,500 บาท ขณะที่ราคาของคู่แข่งอย่างเวฟ110ไอนั้นเริ่มต้นที่ 34,000-40,000บาท ส่วนซูซูกิ สแมช โมเดลปี2008ราคาเริ่มต้น 34,000-38,000บาท นอกจากนี้ยามาฮ่ายังมีการชูเรื่องอะไหล่ทดแทนที่ถูกกว่า โดยข้อมูลจากการสำรวจของยามาฮ่าพบว่าอะไหล่ของสปาร์ค นาโนเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์แบบเดิมพวกเขาจะถูกกว่า17%ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับอะไหล่ของเครื่องยนต์แบบหัวฉีดพวกเขาถูกกว่า 50%
การชูจุดเด่นเรื่องราคาและเรื่องอะไหล่ถือเป็นประเด็นสำคัญอีกจุดหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้ยอดขายของรถในรุ่นนี้ได้รับความนิยม เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่จะซื้อรถประเภทนี้เป็นกลุ่มผู้บริโภคตามต่างจังหวัดที่เน้นรถครอบครัวแบบใช้งาน ซึ่งปัจจัยด้านราคาและอะไหล่ทดแทนจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่มีผลต่อการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภค ก็จะทำให้มีการพิจารณาถึงความคุ้มค่าและใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบมากที่สุด
ถือเป็นการตัดสินใจรุกในห้วงเวลาที่ตลาดเริ่มจะส่งสัญญาณในทางบวก เนื่องจากภาพรวมของตลาดเริ่มมีตัวเลขหดตัวอยู่ในปริมาณที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีตัวเลขจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 743,274คัน ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 14.8%เมื่อเจาะเฉพาะตลาดรถกลุ่มครอบครัวก็จะพบว่าแนวโน้มยอดขายนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 73,647 คันสูงที่สุดในรอบ6เดือน
สัญญาณที่เริ่มส่งมาในแนวบวกทำให้การตัดสินใจรุกตลาดรถเกียร์ธรรมดาเป็นไปอย่างมั่นใจ เพราะไม่เพียงแต่เชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ ขึ้นชื่อว่ายามาฮ่า มักจะมีรูปแบบการตลาดที่แปลกและไม่เหมือนใคร โดยมีการทุ่มงบประมาณกว่า40ล้านบาทในส่วนนี้ และมีการสื่อสารทางการตลาดด้วยการส่งคีย์ เมสเสจ'ยามาฮ่า สปาร์ค นาโน ใหม่ ซูเปอร์คุ้ม คูณสาม คุ้มเงิน คุ้มงาน คุ้มนาน'และเมสเสจดังกล่าวก็ถูกถ่ายทอดโดย3พรีเซ็นเตอร์ อย่างอี้ด-ลาล่า-ลูลู่ จากโปงลางสะออน
สรวงสุดา มนัสบุญเพิ่มพูล ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่าสาเหตุที่มีการเลือกอี้ด-ลาล่า-ลูลู่ จากโปงลางสะออนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น เนื่องจากแต่เดิมทั้ง3คนได้ร่วมทำกิจกรรมกับยามาฮ่ามาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเป็นการเดินสายโรดโชว์ และนำเสนอรถในรุ่นสปาร์ค อาร์เอ็กซ์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดนั้นๆได้เป็นอย่างดี ประกอบกับบุคลิกของพรีเซ็นเตอร์ทั้ง3คนที่สามารถไต่เต้าจนประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ตรงจุดนี้มองว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดี อีกทั้งยังสามารถเข้าหาคนทุกเพศทุกวัยได้ ทำให้ยามาฮ่าตัดสินใจเลือกมาทำหน้าที่พรีเซ็นเตอร์รถใหม่ในครั้งนี้
นอกจากการใช้พรีเซ็นเตอร์ในการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านโฆษณาและสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆแล้ว แนวทางที่สำคัญที่จะผลักดันยอดขายของรถรุ่นนี้คือการทำกิจกรรมทางการตลาดในแบบโรดโชว์ภายใต้ชื่องาน 'ยามาฮ่า สปาร์ค นาโน สะออนทั่วไทยกับโปงลางสะออน'ที่จะเป็นการแนะตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับลูกค้า เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดสอบรถ ส่วนความบันเทิงก็จะมีโปงลางสะออนมาร่วมมอบความสนุก โดยยามาฮ่ามีการวางแผนรุกเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นอำเภอในเขตนอกเมืองทั่วประเทศ และจะมีการจัดกิจกรรมมากกว่า450 ครั้งในระยะเวลา3เดือนนับจากนี้
แม้จะถูกมองว่าการเข้ามารุกตลาดรถเกียร์ธรรมดาในครั้งนี้ เป็นการลดระดับแบรนด์จากระดับบนมาสู่ระดับล่าง แต่ยามาฮ่ามองว่า ผลิตภัณฑ์จะเป็นตัวบอกว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นแบบไหน และจะมุ่งไปสู่การทำตลาดในแบบนั้น ซึ่งแต่เดิมที่ผ่านมา เน้นรถแบบเกียร์อัตโนมัติ ก็จะมุ่งเจาะกลุ่มคนเมือง เน้นกลุ่มที่เป็นเทรนดี้ มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างโดดเด่น ขณะที่ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เข้ามาและมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ดังนั้นแนวทางหรือวิธีการในการทำตลาดก็จะต่างกันออกไปด้วย เรียกว่าผลิตภัณฑ์จะมีโพสิชั่นของตัวเองอยู่แล้ว และไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียไปแต่อย่างใด เพราะกลุ่มเป้าหมายเป็นคนละกลุ่มกัน ขณะที่การรุกในครั้งนี้ของยามาฮ่า แม้จะมองว่าเป็นเรื่องที่ช้าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างฮอนด้า และซูซุกิ ที่มีการทำตลาดรถแบบเกียร์ธรรมดามาอย่างต่อเนื่อง แต่ยามาฮ่าเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่เพียรสร้างมาหลายปี และผลิตภัณฑ์ที่สดใหม่น่าจะทำให้ยอดขายของรถรุ่นนี้อยู่ที่ 7,000คันต่อเดือน ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จะทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดในรถเกียร์ธรรมดาที่แต่เดิมมีอยู่5% หรือขายได้3,000คันต่อเดือนก็จะเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ภายในสิ้นปีนี้
เรียกได้ว่าเป็นการเปิดเกมรบอีกครั้งของยามาฮ่า หลังจากในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในสนามรบของตลาดเกียร์อัตโนมัติ แต่มาวันนี้เมื่อมีการเสริมความแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเกียร์ธรรมดา พร้อมทั้งอัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบตามสไตล์ Yes! We are Different คาดว่าสมรภูมิในครั้งนี้จะต้องทำให้เจ้าตลาดอย่างฮอนด้า และ ซูซุกิ ที่เคยมั่นใจในตัวเองต้องสั่นคลอนอีกครั้ง
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080410
No comments:
Post a Comment