ตลาดรถจักรยานยนต์เดือนเมษายน ยอดขายพุ่ง128% สวนทางเหตุจลาจลใหญ่ ฮอนด้ายิ้มเครื่องหัวฉีดครองตลาด 57 % คาดเดือน พฤษภาคมโรงเรียนเปิดเทอมดันยอดพุ่งทะยาน จัดแคมเปญ"ดูดีๆหัวฉีดหรือเปล่า"เกทับคู่แข่ง
นายธีรพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยเดือนเมษายน ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะคึกคักและมีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลงานสงกรานต์ของไทย แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับการใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภค, บริโภค รวมทั้งรถจักรยานยนต์ เปิดตัวเลขในเดือนแรกไตรมาสสองที่ 134,516 คัน ลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังเติบโตขึ้น 128% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจับตามองในช่วงสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มั่นคงดังกล่าว ผู้บริโภครอบคอบต่อการใช้จ่ายและเล็งเห็นความคุ้มค่ามากที่สุด
"สถานการณ์การเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่รถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีด PGM-FI ของฮอนด้าที่สร้างความคุ้มค่าสูงสุดในการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ โดยมียอดจดทะเบียนป้ายวงกลมในเดือนเมษายนจำนวน 80,849 คัน คิดเป็นสัดส่วนตลาดถึง 60 % เมื่อเปรียบเทียบกับระบบคาร์บูเรเตอร์ ส่วนคาดการณ์ยอดขายในเดือนพฤษภาคม ภาพรวมยอดขายน่าจะเติบโตขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอม ซึ่งทางบริษัทได้ผลักดันให้ผู้จำหน่ายร่วมจัดกิจกรรมและแคมเปญต้อนรับเปิดเทอม พร้อมกับจัดแคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อเชิญชวนผู้ซื้อว่า "ดูดีๆหัวฉีดหรือเปล่า"
นายธีรพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ฮอนด้าตัดสินใจปรับสายการผลิตทั้งหมดในประเทศไทยเป็นระบบหัวฉีด PGM-FI ซึ่งเป็นการตัดสินใจของผู้นำที่จะนำพาเทคโนโลยีที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกจึงเป็นสัญญาณที่ดีในการเติบโตของรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบหัวฉีดทั้งหมดและเพื่อเป็นการผลักดันตลาดโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม เอที หัวฉีดของฮอนด้ายังคงเพิ่มการตอบรับจากผู้ใช้วัยรุ่นได้อย่างต่อเนื่องดูได้จากการครองอันดับ 1 อย่างเหนียวแน่นด้วยสัดส่วนตลาดถึง 57%
สำหรับรายงานตัวเลขรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน 2553 มียอดจำหน่ายรวมที่ 134,516 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบ เอที 68,832 คัน เทียบเท่าสัดส่วน 51% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่ 60,577 คันหรือเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 45% สำหรับรถจักรยานยนต์ครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 2,245 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2% แบบสปอร์ต 691 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่นๆ 2,171 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาดกว่า 1%
ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิตในเดือนเมษายนรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า 91,989 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 68% ยามาฮ่า 34,868 คัน อัตราครองตลาด 26% ซูซูกิ 4,735 คัน อัตราครองตลาด 4% อื่นๆได้แก่ คาวาซากิ 1,751 คัน เจอาร์ดี 20 คัน , แพล็ตตินั่ม 56 คัน และอื่นๆ 964 คัน
นายธีรพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยเดือนเมษายน ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะคึกคักและมีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลงานสงกรานต์ของไทย แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับการใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภค, บริโภค รวมทั้งรถจักรยานยนต์ เปิดตัวเลขในเดือนแรกไตรมาสสองที่ 134,516 คัน ลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังเติบโตขึ้น 128% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจับตามองในช่วงสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มั่นคงดังกล่าว ผู้บริโภครอบคอบต่อการใช้จ่ายและเล็งเห็นความคุ้มค่ามากที่สุด
"สถานการณ์การเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่รถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีด PGM-FI ของฮอนด้าที่สร้างความคุ้มค่าสูงสุดในการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ โดยมียอดจดทะเบียนป้ายวงกลมในเดือนเมษายนจำนวน 80,849 คัน คิดเป็นสัดส่วนตลาดถึง 60 % เมื่อเปรียบเทียบกับระบบคาร์บูเรเตอร์ ส่วนคาดการณ์ยอดขายในเดือนพฤษภาคม ภาพรวมยอดขายน่าจะเติบโตขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอม ซึ่งทางบริษัทได้ผลักดันให้ผู้จำหน่ายร่วมจัดกิจกรรมและแคมเปญต้อนรับเปิดเทอม พร้อมกับจัดแคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อเชิญชวนผู้ซื้อว่า "ดูดีๆหัวฉีดหรือเปล่า"
นายธีรพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ฮอนด้าตัดสินใจปรับสายการผลิตทั้งหมดในประเทศไทยเป็นระบบหัวฉีด PGM-FI ซึ่งเป็นการตัดสินใจของผู้นำที่จะนำพาเทคโนโลยีที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกจึงเป็นสัญญาณที่ดีในการเติบโตของรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ในการปรับเปลี่ยนเป็นระบบหัวฉีดทั้งหมดและเพื่อเป็นการผลักดันตลาดโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ในกลุ่ม เอที หัวฉีดของฮอนด้ายังคงเพิ่มการตอบรับจากผู้ใช้วัยรุ่นได้อย่างต่อเนื่องดูได้จากการครองอันดับ 1 อย่างเหนียวแน่นด้วยสัดส่วนตลาดถึง 57%
สำหรับรายงานตัวเลขรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน 2553 มียอดจำหน่ายรวมที่ 134,516 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบ เอที 68,832 คัน เทียบเท่าสัดส่วน 51% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่ 60,577 คันหรือเทียบเท่าสัดส่วนตลาด 45% สำหรับรถจักรยานยนต์ครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 2,245 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 2% แบบสปอร์ต 691 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่นๆ 2,171 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาดกว่า 1%
ในขณะที่หากแบ่งแยกเป็นยอดจดทะเบียนตามประเภทของผู้ผลิตในเดือนเมษายนรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า 91,989 คัน เทียบเท่าอัตราครองตลาด 68% ยามาฮ่า 34,868 คัน อัตราครองตลาด 26% ซูซูกิ 4,735 คัน อัตราครองตลาด 4% อื่นๆได้แก่ คาวาซากิ 1,751 คัน เจอาร์ดี 20 คัน , แพล็ตตินั่ม 56 คัน และอื่นๆ 964 คัน
No comments:
Post a Comment