ค่ายรถจักรยานยนต์ “ซูซูกิ” โต้ข่าวลือย้ายฐานไปอินโดนีเซีย ยืนยันไทยยังเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางอาร์แอนด์ดีของภูมิภาคต่อไป โดยปีนี้ลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และงบการตลาดรวม 1 พันล้านบาท เพื่อผลักดันยอดขายพุ่ง 1 แสนคัน เติบโตกว่า 20% และเท่านั้นไม่พอบริษัทแม่ยังเตรียมย้ายไลน์การผลิตเครื่องยนต์เรือเล็ก จากประเทศญี่ปุ่น มาไทย คาดจะเริ่มดำเนินการได้ปลายปีนี้
นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิ มอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีรายงานข่าวถึงการย้ายฐานผลิตจากประเทศไทยไปยังอินโดนีเซีย จนทำให้เกิดความสับสนเป็นอย่างมาก ซึ่งจากการตรวจสอบของบริษัท ทราบว่า มาจากความผิดพลาดในการสื่อสารทางภาษา โดยการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของผู้บริหารซูซูกิในอินโดนีเซีย เมื่อคราวเปิดตัวรถจักรยานยนต์โมเดลใหม่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
“เรื่องนี้เราได้ตรวจสอบกับทางบริษัทแม่ซูซูกิ มอเตอร์ ที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว ทราบว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยไทยยังจะเป็นฐานการผลิตและศูนย์การออกแบบของซูซูกิในภูมิภาคเอเชียเช่น เดิม และจะยังคงมีการลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาดไทยและส่งออกต่อไป”
ทั้งนี้ แม้ตลาดอินโดนีเซียมีการเติบโตเป็นอย่างมาก แต่ไทยมีศักยภาพในการผลิตที่มีคุณภาพ และต้นทุนก็ไม่ได้สูงกว่าแต่อย่างใด ทำให้ไทยยังคงเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ พร้อมกับเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ หรืออาร์แอนด์ดี (R&D) ของภูมิภาค ซึ่งตั้งอยู่สถานที่แห่งเดียวกับอาร์แอนด์ดีของรถยนต์ซูซูกิ ที่เพิ่งเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทย เพื่อผลิตรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์
“ที่สำคัญ ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ยังเตรียมจะย้ายฐานการผลิตเครื่องยนต์เรือขนาดเล็ก จากประเทศญี่ปุ่นมาไทยอีกโครงการ ซึ่งเบื้องต้นจะมีการผลิตเพื่อส่งออกมากกว่า 3.2 หมื่นเครื่อง จากเดิมที่ไทยได้มีการผลิตอยู่เพียงปีละไม่กี่พันเครื่องเท่านั้น และอนาตก็จะปรับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” นายเลิศศักดิ์ กล่าวและว่า สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ขณะนี้กำลังมีการพูดคุยกันในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นแผนงานและมูลค่าการลงทุน แต่ชัดเจนว่าจะย้ายไลน์การผลิตมาไทยแน่นอน คาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนในการลงทุนและนำเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งในไทย ประมาณปลายปีนี้ หรือต้นปี 2554
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการลงทุนอื่นๆ เป็นปกติที่ซูซูกิจะลงทุนต่อเนื่องทุกปี ไม่ว่าจะเป็นขยายกำลังการผลิต และการลงทุนในการพัฒนารถจักรยานยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาด ซึ่งในปีนี้จะยังไม่มีการลงทุนขยายการผลิต เพราะกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ 4 แสนคันต่อปี และปัจจุบันใช้ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ยังคงมีเช่นเดิม เพื่อที่จะแนะนำรถใหม่สู่ตลาดในปีนี้
“การลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท และซูซูกิยังตั้งงบตลาดไว้อีก 500 ล้านบาท เพื่อผลักดันเป้าหมายการขายปีนี้ให้บรรลุ 1 แสนคัน หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่การส่งออกอยู่ที่ประมาณ 1 แสนคันเช่นกัน ด้านภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทย คาดว่า ปีนี้จะอยู่ที่ 1.7 ล้านคัน หรือเติบโตประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการเติบโตของเศรษฐกิจและสินค้าเกษตรราคา ส่วนปัญหาการเมืองไม่น่าจะส่งผลมากนัก”
โดยยอดขายของซูซูกิในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.) ที่ผ่านมา ทำได้ตามเป้าหมายประมาณ 3 หมื่นคัน แม้หากเทียบกับภาพรวมตลาดแล้วยังถือว่าต่ำอยู่ แต่ในช่วงที่ผ่านมาซูซูกิไม่ได้แนะนำรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดเลย จนล่าสุดในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2010 ที่ไบเทค บางนา ได้มีการส่ง ซูซูกิ สแมท และ ซูซูกิ สกายไดร์ฟ โฉมใหม่สู่ตลาดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการเปิดตัว ซูซูกิ เจลาโต เมื่อเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ซูซูกิ สแมท เป็นรถครอบครัวที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมาก โดยบริษัทตั้งเป้าไว้เดือนละ 5,000 คัน แต่ปัจจุบันไม่สามารถส่งมอบรถได้ทันความต้องการลูกค้าที่สูงมาก จึงต้องมีการปรับกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับสภาพตลาด เช่นเดียวกับ ซูซูกิ สกายไดร์ฟ รถแบบออโตเมติก หรือ เอ.ที.ที่เปิดตัวสู่ตลาดพร้อมกันอีกรุ่น เป็นที่ชื่นชอบจนไม่สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการของตลาดเช่นกัน
“ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยปัจจุบัน รถแบบ เอ.ที.เติบโตเป็นอย่างมาก โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 49% แต่ตลาดหลักของซูซูกิยังอยู่ที่รถแบบครอบครัว หรือประมาณ 70% ของยอดขาย ส่วนอีก 30% เป็นรถแบบ เอ.ที.แต่เพื่อตอบรับกับกระแสการเติบโตของรถประเภทนี้ เราจึงได้มีการแนะนำ ซูซูกิ เจลาโต เวอร์ชั่นพิเศษสู่ตลาด เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ซูซูกิได้ตามเป้า”
สำหรับ ซูซูกิ เจลาโต ใหม่ ได้มีการนำเสนอสีสันลวดลายใหม่ๆ โดยมีทั้งหมด 2 รุ่นให้เลือก คือ Jelato Punk ที่ทำออกมาสำหรับหนุ่มสาวแนวห้าว ที่ชอบสไตล์เท่ๆ มันส์ๆ และรุ่น Cute Limited Edition จับกลุ่มหนุ่มสาววัยรุ่นที่อยากจะแสดงออกถึงความน่ารักสดใส ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มีการปรับราคาขึ้นแต่อย่างใด โดยเริ่มต้นที่ราคา 4.69 หมื่นบาท
เพิ่มเติม http://www.mocyc.com/news/view.php?category=2&idnews=368
นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิ มอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีรายงานข่าวถึงการย้ายฐานผลิตจากประเทศไทยไปยังอินโดนีเซีย จนทำให้เกิดความสับสนเป็นอย่างมาก ซึ่งจากการตรวจสอบของบริษัท ทราบว่า มาจากความผิดพลาดในการสื่อสารทางภาษา โดยการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของผู้บริหารซูซูกิในอินโดนีเซีย เมื่อคราวเปิดตัวรถจักรยานยนต์โมเดลใหม่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
“เรื่องนี้เราได้ตรวจสอบกับทางบริษัทแม่ซูซูกิ มอเตอร์ ที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว ทราบว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยไทยยังจะเป็นฐานการผลิตและศูนย์การออกแบบของซูซูกิในภูมิภาคเอเชียเช่น เดิม และจะยังคงมีการลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาดไทยและส่งออกต่อไป”
ทั้งนี้ แม้ตลาดอินโดนีเซียมีการเติบโตเป็นอย่างมาก แต่ไทยมีศักยภาพในการผลิตที่มีคุณภาพ และต้นทุนก็ไม่ได้สูงกว่าแต่อย่างใด ทำให้ไทยยังคงเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ พร้อมกับเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ หรืออาร์แอนด์ดี (R&D) ของภูมิภาค ซึ่งตั้งอยู่สถานที่แห่งเดียวกับอาร์แอนด์ดีของรถยนต์ซูซูกิ ที่เพิ่งเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทย เพื่อผลิตรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์
“ที่สำคัญ ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ยังเตรียมจะย้ายฐานการผลิตเครื่องยนต์เรือขนาดเล็ก จากประเทศญี่ปุ่นมาไทยอีกโครงการ ซึ่งเบื้องต้นจะมีการผลิตเพื่อส่งออกมากกว่า 3.2 หมื่นเครื่อง จากเดิมที่ไทยได้มีการผลิตอยู่เพียงปีละไม่กี่พันเครื่องเท่านั้น และอนาตก็จะปรับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” นายเลิศศักดิ์ กล่าวและว่า สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ขณะนี้กำลังมีการพูดคุยกันในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นแผนงานและมูลค่าการลงทุน แต่ชัดเจนว่าจะย้ายไลน์การผลิตมาไทยแน่นอน คาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนในการลงทุนและนำเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งในไทย ประมาณปลายปีนี้ หรือต้นปี 2554
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการลงทุนอื่นๆ เป็นปกติที่ซูซูกิจะลงทุนต่อเนื่องทุกปี ไม่ว่าจะเป็นขยายกำลังการผลิต และการลงทุนในการพัฒนารถจักรยานยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาด ซึ่งในปีนี้จะยังไม่มีการลงทุนขยายการผลิต เพราะกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ 4 แสนคันต่อปี และปัจจุบันใช้ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ยังคงมีเช่นเดิม เพื่อที่จะแนะนำรถใหม่สู่ตลาดในปีนี้
“การลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท และซูซูกิยังตั้งงบตลาดไว้อีก 500 ล้านบาท เพื่อผลักดันเป้าหมายการขายปีนี้ให้บรรลุ 1 แสนคัน หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่การส่งออกอยู่ที่ประมาณ 1 แสนคันเช่นกัน ด้านภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทย คาดว่า ปีนี้จะอยู่ที่ 1.7 ล้านคัน หรือเติบโตประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการเติบโตของเศรษฐกิจและสินค้าเกษตรราคา ส่วนปัญหาการเมืองไม่น่าจะส่งผลมากนัก”
โดยยอดขายของซูซูกิในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.) ที่ผ่านมา ทำได้ตามเป้าหมายประมาณ 3 หมื่นคัน แม้หากเทียบกับภาพรวมตลาดแล้วยังถือว่าต่ำอยู่ แต่ในช่วงที่ผ่านมาซูซูกิไม่ได้แนะนำรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดเลย จนล่าสุดในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2010 ที่ไบเทค บางนา ได้มีการส่ง ซูซูกิ สแมท และ ซูซูกิ สกายไดร์ฟ โฉมใหม่สู่ตลาดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการเปิดตัว ซูซูกิ เจลาโต เมื่อเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ซูซูกิ สแมท เป็นรถครอบครัวที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมาก โดยบริษัทตั้งเป้าไว้เดือนละ 5,000 คัน แต่ปัจจุบันไม่สามารถส่งมอบรถได้ทันความต้องการลูกค้าที่สูงมาก จึงต้องมีการปรับกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับสภาพตลาด เช่นเดียวกับ ซูซูกิ สกายไดร์ฟ รถแบบออโตเมติก หรือ เอ.ที.ที่เปิดตัวสู่ตลาดพร้อมกันอีกรุ่น เป็นที่ชื่นชอบจนไม่สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการของตลาดเช่นกัน
“ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยปัจจุบัน รถแบบ เอ.ที.เติบโตเป็นอย่างมาก โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 49% แต่ตลาดหลักของซูซูกิยังอยู่ที่รถแบบครอบครัว หรือประมาณ 70% ของยอดขาย ส่วนอีก 30% เป็นรถแบบ เอ.ที.แต่เพื่อตอบรับกับกระแสการเติบโตของรถประเภทนี้ เราจึงได้มีการแนะนำ ซูซูกิ เจลาโต เวอร์ชั่นพิเศษสู่ตลาด เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ซูซูกิได้ตามเป้า”
สำหรับ ซูซูกิ เจลาโต ใหม่ ได้มีการนำเสนอสีสันลวดลายใหม่ๆ โดยมีทั้งหมด 2 รุ่นให้เลือก คือ Jelato Punk ที่ทำออกมาสำหรับหนุ่มสาวแนวห้าว ที่ชอบสไตล์เท่ๆ มันส์ๆ และรุ่น Cute Limited Edition จับกลุ่มหนุ่มสาววัยรุ่นที่อยากจะแสดงออกถึงความน่ารักสดใส ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มีการปรับราคาขึ้นแต่อย่างใด โดยเริ่มต้นที่ราคา 4.69 หมื่นบาท
เพิ่มเติม http://www.mocyc.com/news/view.php?category=2&idnews=368
No comments:
Post a Comment